หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

คัมภีร์มรณะ (Book of the Dead)

คัมภีร์มรณะ (Book of the Dead) 

           มีชื่อดั้งเดิมในภาษาฮีโรกลิฟฟิก แปลว่า The Cahptors of Coming-Forth-By-Day ในปี ค.ศ. 1842 นายโทมัส จี อัลเลน (Thomas G. Allen) ผู้แปลภาษาอียิปต์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ได้ให้ความหมายของคัมภีร์มรณะว่า เป็นความปรารถนาที่จะเดินทางไปยังยมโลก
           คัมภีร์มรณะทำด้วยกระดาษปาปิรุส (Papyrus) บรรจุถ้อยคำยาวเหยียด อักษรสีแดงใช้เป็นหัวเรื่อง หรือคำที่เน้นว่าสำคัญ นอกนั้นใช้สีดำ บางครั้งก็มีวาดรูปประกอบไว้ด้วย           ชีวิตหลังความตายของชาวอียิปต์โบราณนั้นเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วอนูบิส (Anubis) จะมารับดวงวิญญาณไปสู่ยมโลก โดยพานั่งเรือเทพเจ้ารา (Ra) ซึ่งเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ ผ่านอาณาจักรของเทพเจ้ารา ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก จากนั้นเรือก็จะผ่านเขตสุดท้าย คือมหาวิหารพิพากษาของเทพโอซิริส วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกเกณฑ์ลงเรือเข้าไปยังห้องพิพากษาของวิญญาณ ตรงกลางมีตราคันชั่งใหญ่แบบตราชู เทพฮอรัสกับเทพอนูบิสจะทำการกำกับการชั่ง โดยนำเอาหัวใจของผู้ตายชั่งไว้ข้างหนึ่งของตาชั่ง ส่วนอีกข้างจะเป็นขนนกของเทพีมะอาท (Maat) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม           ผู้ตายจะต้องประกาศความดีที่ตนเคยทำเอาไว้ครั้งที่ตนยังมีชีวิตอยู่ พร้อมทั้งประกาศว่าตนไม่เคยทำความผิดบาป 42 ประการ เช่น ไม่เคยชักชวนให้ผู้อื่นเสียคน ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยกล่าวคำเท็จ ไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคยฉ้อฉล ไม่เคยสั่งฆ่าผู้ใด ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า และไม่เคยทำในสิ่งที่พระองค์รังเกียจ เป็นต้น ผู้ตายจะต้องประกาศสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าเทพโอซิริส (Osiris)

หากสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นความจริง ขนนกของเทพีมะอาทจะหนักกว่าหัวใจของผู้ตาย นั่นก็ถือว่าผู้ตายได้ผ่านการทดสอบ และได้เข้าไปอยู่ในดินแดนของเทพเจ้ารา ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ความสวยงาม และความอุดมสมบูรณ์ไม่รู้จักจบจักสิ้น
           แต่ถ้าสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นเท็จ หัวใจของผู้ตายจะหนักกว่าขนนกของเทพีมะอาท นั่นก็ถือว่าผู้ตายไม่ได้ผ่านการทดสอบ และผู้นั้นจะไม่ได้ไปในที่ๆ เป็นดินแดนของเทพเจ้ารา ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นที่ๆ ผู้ตายจะไม่ได้รับแสงสว่างจากเทพเจ้าราเลย และยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความอดอยากหิวโหย           คัมภีร์มรณะเกิดขึ้นภายหลังจากการที่อียิปต์อยู่ในสมัยจักรวรรดิแล้ว ก่อนหน้านั้น อียิปต์ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฮิกซอสเป็นเวลานานถึง 200 ปี ศาสนาและหลักศีลธรรมของอียิปต์เรื่อมเสื่อมลง ความเชื่อเรื่องเครื่องลางของขลังได้เข้ามาแทนที่ ทำให้พวกพระเข้ามามีบทบาทในจิตใจของชาวอียิปต์อย่างมาก พวกพระเหล่านี้เป็นพระที่มีความละโมภในทรัพย์สิน ได้เป็นผู้ริเริ่มขายหนังสือเวทมนตร์ต่างๆ ซึ่งเป็นการล้มล้างความผิดให้กับผู้ตาย โดยการเขียนใส่กระดาษปาปิรุส (Papyrus) ใส่ไว้ในหว่างขาของมัมมี่ (Mummy) หรือตรงฐานโลงศพ           ข้อความในคัมภีร์มรณะเป็นคาถาอาคมป้องกันไม่ให้วิญญาณเสื่อมสลาย บทร่ายเวทมนตร์ช่วยให้วิญญาณพ้นจากการถูกขังในยมโลก บรรยากาศการตัดสินต่อหน้าเทพโอซิริสในยมโลก รวมถึงคำพูดที่ผู้ตายควรพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าโอซิริส           เชื่อกันว่า การซื้อคัมภีร์มรณะถือว่าเป็นการซื้อใบเบิกทางให้ตนได้เข้าสู่อาณาจักรของเทพเจ้ารา แม้ว่าจะเคยทำผิดหรือไม่ก็ตาม ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำความดี ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ศาสนาและหลักศีลธรรมของอียิปต์เริ่มเสื่อมลง

คำสาปฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun) 2

คำสาปฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun) 2..ต่อ





             ฟาโรห์ตุตันคามุน (Tutankhamun) หรือ ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ครองราชย์ในช่วงระหว่าง 1,325–1,334 ปีก่อนคริสตกาล และเนื่องจากพระองค์ทรงครองราชย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียง 9 ปี และสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ทั้งที่ยังมีพระชนมายุไม่ครบ 19 ชันษา โดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งยังไม่มีองค์รัชทายาท ทำให้มีการสร้างสุสานถวายแบบง่ายๆ ราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 6 ทับลงบนสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน เนื่องจากคนงานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุสานของบุคคลธรรมดา จึงทำให้สุสานของฟาโรห์ตุตันคามุนถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย และนับเป็นสุสานที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้มากที่สุด

             แต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยสังฆราชอัย (Ay หรือ Ai) ซึ่งต่อมาสถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์สืบราชสมบัติ และด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์น้อย ทำให้ทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก ที่สำคัญหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย

             ในปี 1922 ลอร์ด คาร์นาร์วอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เข้าไปทำการสำรวจค้นหาสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการค้นหาสุสาน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบห้องเก็บพระศพ และโลงพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรนิลจินดาอีกมากมายนักสำรวจทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจกับการค้นพบ ทำให้ละเลยคำสาปที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ภายในสุสาน



“มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” 


             ดร.เมห์เรช ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาได้รังควานสันติสุขของฟาโรห์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้มีการเปิดสุสานเป็นต้นมา !แต่ถึงแม้จะรู้เขาก็ไม่สนใจ เพราะเขาเชื่อว่า ความตายของผู้คนหลังจากการเปิดสุสานตุตันคาเมนเป็นเหตุบังเอิญทั้งนั้น ดังคำสัมภาษณ์ที่ ฟิลิปป์ แวนเดนเบอร์ก ไปสัมภาษณ์ท่านอธิบดีก่อนจะเขียนหนังสือชื่อ ''คำสาปฟาโรห์'' ได้หยิบเอาเรื่องคำสาปในสุสานขึ้นเป็นหัวข้อสนทนา ดร. เมห์เรชยังกล่าวอย่างมั่นใจยืนยันความเชื่อเดิมว่า "มันเป็นเรื่องบังเอิญทั้งนั้น"


             แวนเดนเบอร์กถามว่า "ท่านแน่ใจหรือว่าคำสาปไม่มีจริง" ท่านอธิบดีโบราณคดีก็ตอบว่า "ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ดูผมเป็นตัวอย่างซิ ผมคลุกคลีอยู่กับสุสานและโบราณวัตถุของฟาโรห์ไอยคุปต์มามากมายนับไม่ถ้วนตั้งหลายสิบปีแล้ว" ท่านอธิบดีโบราณคดีย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนที่จะนำสมบัติของกษัตริย์ตุตันคาเมนจากกรุในพิพิธภัณฑ์บรรจุหีบห่อเป็นพิเศษ ส่งไปแสดงยังลอนดอน...หลังจากที่ทำงานนี้เสร็จไม่กี่วัน ฟิลิปป์ แวนเดนเบอร์ก ก็ได้รับข่าวสลดใจกะทันหัน ดร.กามาล เมห์เรช อธิบดีวัย 52 ปี ผู้มีร่างใหญ่ แข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย อยู่ๆก็เป็นลมล้มตึงในห้องทำงาน และเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ได้นำส่งโรงพยาบาล หมอลงความเห็นว่าหัวใจวายเฉียบพลัน


             มรณกรรมของ ดร.เมเรช อย่างปุบปับหลังจากเข้าไป "รังควาน" สมบัติของตุตันคาเมนเป็นครั้งที่สอง จึงกลายเป็นหัวข้อให้คนที่เชื่อเรื่องลึกลับ เอามาร่ำลือกันว่าท่านต้องอาถรรพณ์คำสาปฟาโรห์เข้าให้อย่างช่วยไม่ได้ เลยยิ่งส่งให้ความขลังและอาถรรพณ์ของคำสาปรุนแรงมากขึ้น ตามจารึกในสุสานที่ว่าเป็นปีกแห่งมรณะจะโบยบินมาสังหารผู้รังควานความสงบของพระองค์จริงๆ



“มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” 


             ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพ์นี้ ก่อให่เกิดการตายอย่างน่าพิศวง ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันว่าเกิดจากคำสาปแช่งขององค์ฟาโรห์

             ลอร์ด คาร์นาร์วอน เสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในห้องพักของโรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ สาเหตุการตายเนื่องจากถูกยุงกัด ทำให้เป็นนิวมอเนีย แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ที่มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคามุนก็มีรอยยุงกัดที่แก้มซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ลอร์ดคาร์นาร์วอนถูกยุงกัดเช่นกัน

             ภายในเวลา 6 ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผุ้ที่ได้ร่วมขุดค้นล้มตายไปถึง 12 คน โดยส่วนใหญ่มีอาการเหนื่อยอ่อนและเสียชีวิตไปเฉยๆ โดยที่แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ และภายในระยะเวลา 7 ปี มีผู้ที่ร่วมในการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนรอดชีวิตอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีบุคคลใกล้ชิดของผู้ที่ร่วมขุดสุสานจำนวนถึง 22 คน ได้ถึงแก่กรรมไปทั้งที่ยังไม่สมควรแก่เวลา และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ เลดี้คาร์นาร์วอน ภรรยาของลอร์ด คาร์นาร์วอน ที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากเกิดอาการเสียสติ จากนั้นมาแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรหากแต่เมื่อครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา

คำสาปฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun)

คำสาปฟาโรห์ตุตันคามุน (Tutankhamun)




              สุสานตุตันคาเมนถูกเปิดในปี ค.ศ. 1922(พ.ศ. 2465) หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีเปิดได้เสียชีวิตไป 22 คน ครั้นห้าสิบปีผ่านไป เมื่อมีการแสดงสมบัติตุตันคาเมนเพื่อฉลองครบรอบห้าสิบปีแห่งการเปิดสุสาน ก็เกิดมรณกรรมแก่ผู้ที่บังอาจรบกวนฟาโรห์อีกครั้งอย่างไม่น่าเป็นไปได้

             การค้นคว้าหาอดีตอันรุ่งโรจน์ของไอยคุปต์นับเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีทุกคนใฝ่ฝัน ตลอดเวลากว่า3,000-4,000 ปีของอียิปต์ หลักฐานที่มีอยู่นอกจากสถาปัตยกรรมอย่างปิรามิดที่เกือบสูญหายไปหมดแล้ว ยังคงมีเพียงการตามขุดค้นด้วยความหวังที่จะพบโบราณวัตถุตามสุสาน ซึ่งคนอียิปต์โบราณก็นำของมีค่าเหล่านี้ฝังไว้ในที่เก็บศพตามความเชื่อของตน

             ตามประวัติความเป็นมา บริเวณที่นักโบราณคดีสนใจ คือ บริเวณเทือกเขาธีบัน (หุบเขาสุสานกษัตริย์)ทางด้านตะวันตกของนครธีบีส อดีตราชธานีของไอยคุปต์ ณ ที่นี้เป็นสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์แห่งราชวงศ์ 18 และ 19 จำนวนมากกว่า 30 แห่ง ในระยะเวลาที่เริ่มมีการขุดค้นนักโบราณคดีชาวตะวันตกคนแล้วคนเล่าพากันมาขุดที่นี่และต่างก็ได้รับความสำเร็จ คือ พบสุสานกับหีบพระศพ ตลอดจนโลงรูปตัวคนอยู่ในสุสานที่นั่นหลายต่อหลายครั้ง  น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ว่าบรรดาสุสานที่ได้พบในครั้งนั้นส่วนมากว่างเปล่าปราศจากทรัพย์สมบัติใดๆ บางแห่งแม้แต่มัมมี่เจ้าของสุสานก็ยังไม่มีในนั้นด้วยซ้ำ เพราะพวกหัวขโมยเข้าไปขุดลักสมบัติในนั้นไปจนหมดสิ้น เพราะเวลาผ่านมานานมากสุสานก็เลยถูกขโมยซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่เหลือมีอะไร

             เหตุฉะนี้ทำให้สุสานตุตันคาเมนโดดเด่นขึ้นมาเหนือการสำรวจครั้งใดๆทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีการพบสุสาน ครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ว่าที่พำนักนิทรารมย์ของกษัตริย์หนุ่มองค์นี้กลับเป็นที่เพียงแห่งเดียว ที่ไม่ถูกขโมยพระราชทรัพย์ไปจนหมด

             นักโบราณคดีที่สามารถค้นพบสุสานนี้เป็นชาวอังกฤษชื่อโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ ส่วนผู้ริเริ่มและอุดหนุนทุนในการสำรวจครั้งสำคัญที่สุดนี้ได้แก่ขุนนางผู้มั่งคั่งมีชื่อว่า ยอร์ช.อี.เอส.เอ็ม.เฮอร์เบิร์ต เอิร์ล ที่ 5 แห่งคาร์นาวอน ซึ่งทั่วโลกรู้จักกันในนาม “ลอร์ดคานาวอน”


การสำรวจค้นหาสุสานเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1916 ในชั้นแรกทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ เมื่อขุดไปพบคูหาลับในหน้าผาเป็นที่เก็บวัสดุเหลือใช้จากพิธีการฝังศพฟาโรห์ กับพบแผ่นจารึกนามาภิไธย "ตุตันคาเมน" ทำให้คาร์เตอร์ตั้งสมมติฐานว่าคงจะมีสุสานของฟาโรห์นาม “ตุตันคาเมน” อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณหุบผากษัตริย์แห่งนี้

             อย่างไรก็ตาม งานครั้งนี้ก็ใช้เวลานานถึง 6 ปีกว่าจะพบสุสานของยุวราชาในวันที่ 4 พฤศจิกายน1922 คนงานชาวพื้นเมืองขุดพบบันไดหินทอดลงไปจากระดับพื้นซึ่งอยู่ใต้สุสานของฟาโรห์รามิเซสที่ 6 ลงมาประมาณ 13 ฟุต หลังจากขุดลงไปตามขั้นบันไดจำนวน 16 ชั้น ก็พบประตูปิดสนิทแน่น เมื่อเจาะประตูนี้ออก จึงพบระเบียงทางเดินยาว 10 ฟุต ทอดไปสู่ประตูซึ่งปิดสนิทแน่นอีกบานหนึ่งขวางประตูอยู่ด้านในสุด หลังประตูนี้ความลับทั้งมวลของไอยคุปต์เมื่อสามพันปีแอบแฝงอยู่!

             หากแต่ใช่ว่าเมื่อเปิดประตูนี้จะเจอห้องเก็บสมบัติหรือห้องบรรจุพระศพเลย กลับพบช่องทางเดินทอดยาวไปในความมืดซึ่งไปสิ้นสุดลงที่บานประตูอันปิดแน่นสนิทอีกบานหนึ่งตรงมุมด้านในสุดเช่นเดียวกับประตูแรกที่พบประตูนี้เป็นจุดความหวังของคาร์เตอร์และลอร์ดนาวอนให้ลุกโพลง เพราะหน้าประตูนั้นมีตราผนึกปิดแน่นเป็นราชลัญจกรของตุตันนคาเมนประทับไว้ แสดงว่า สุสานนี้เป็นของยุวราชาตุตันคาเมนแน่นอน



             เบื้องหลังประตูนี้ คือ ที่ซ่อน "สิ่งมหัศจรรย์" นั่นคือห้องมุขที่เก็บพระราชทรัพย์ของตุตันคาเมนส่วนหนึ่ง ถัดห้องนี้ไปก็เป็นห้องเก็บพระบรมศพ ด้านข้างห้องเก็บพระบรมศพก็มีห้องเก็บสมบัติ หรือ "ห้องพระคลังข้างที่'' กับห้องเก็บของเล็กๆ อยู่ติดกับห้องมุขอีกห้องรวมเป็นสี่ห้องแห่งความมหัศจรรย์

             ความตายตามคำสาปครั้งหลังเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ.2515) หลังจากที่ทางราชการอียิปต์เก็บบรรดาสมบัติชิ้นสำคัญๆ ไว้ในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร จนกระทั่งทางอังกฤษคิดจะจัดเสดงสมบัติ ตุตันคาเมนขึ้นในกรุงลอนดอนเพื่อฉลองวาระครบ 50 ปี ที่ได้เปิดสุสานยุวราชา บุคคลสำคัญในการลำเลียงสมบัติของฟาโรห์ออกจากพิพิธภัณฑ์ คือ อธิบดีกรมโบราณคดีของอียิปต์ ซึ่งขณะนั้นได้แก่ ดร.กามาล เมห์เรช เขาเป็นผู้ที่นำเอาครอบพระพักตร์ทองคำและโลงศพทองคำของตุตันคาเมนออกมาจากที่เก็บ เพื่อบรรจุหีบห่อแล้วส่งขึ้นเครื่องบินไปยังลอนดอนเพื่อเตรียมเปิดการแสดงครั้งสำคัญนี้

คำสาปฟาโรห์

''มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์'' 



         เรื่องของคำสาปนับเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างหนึ่งในบรรดาสิ่งลึกลับทั้งหลายในโลก ในบรรดาคำสาปทั้งหลายที่มีอาถรรพณ์แรงกล้าในโลกเรานี้ เห็นจะต้องนับว่าคำสาปของพวกอียิปต์โบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบรรดาสุสานกษัตริย์ เป็นคำสาปที่ขลังและดุที่สุด สามารถเจาะจงติดตามรังควานเฉพาะคนที่ล่วงละเมิดความสงบสุขของผู้เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น

        ชาวอียิปต์โบราณเป็นพวกที่มีศรัทธาในเรื่องชีวิตหลังความตาย ศาสนาเก่าแก่ของเขาสอนให้เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยศรัทธาอย่างนี้ชาวไอยคุปต์จึงนิยมรักษาซากศพไว้เป็นอย่างดี ฝังไว้ในสุสาน ลึกลับพร้อมกับของใช้ส่วนตัวมากมาย รอวันที่จะกลับฟื้นคืนชีพอีกในอนาคต

        แผ่นดินไอยคุปต์จึงเต็มไปด้วยสุสานทั้งในที่ลับและที่แจ้งนับไม่ถ้วน ทั้งแบบของข้าแผ่นดินที่ยากจน ร่ำรวย และสุสานกษัตริย์อันใหญ่โตโอฬารจนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก สมบัติมหาศาลในสุสานต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งเย้ายวนใจพวกมิจฉาชีพ จึงพากันลักลอบขโมยขุดสุสานเพื่อขโมยเอาทรัพย์เหล่านั้นไป เจ้าของสุสานจึงพยามยามหาทางป้องกันทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ หนึ่งในจำนวนวิธีการนั้นได้แก่การร่าย "คำสาป"


        การค้นพบสุสานของยุวกษัตริย์สำคัญองค์หนึ่งที่สำคัญยิ่งองค์นี้ คือ ตุตันคาเมน ที่เราจะพูดถึงอาถรรพณ์ของคำสาปของพระองค์

        โดยความจริงแล้ว ตุตันคาเมนยุวกษัตริย์องค์นี้ ไม่ได้เป็นนักปกครองที่เก่งกาจอะไร ตุตันคาเมน เป็นเพียงยุวราชาที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ไอยคุปต์ในเวลาที่สั้นมาก แต่ที่พระองค์ดังเป็นเพราะการค้นพบสุสานของพระองค์ซึ่งนับว่าสมบูรณ์ที่สุดนั่นต่างหาก แม้ว่าสุสานของพระองค์อาจจะถูกหัวขโมยรบกวนบ้าง แต่ก็ไม่ได้พระราชทรัพย์ที่สำคัญไปมากเท่าไหร่ ของที่เหลืออยู่จึงทำให้คนรุ่นหลังได้รู้เรื่องราวของคนอียิปต์โบราณมากกว่าเดิม

        แต่การค้นพบครั้งนี้นอกจากได้ความรู้มากขึ้น ก็กลับมีการสูญเสียมาพร้อมกัน เป็นการสูญเสียที่ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากเชื่อว่ามาจาก คำสาป ที่วนเวียนอยู่ที่นั่น


''มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์'' 

        ข้อความนี้เป็นคำสาปที่นักบวชได้บรรจุไว้ในสุสานลี้ลับของฟาโรห์ตุตันคาเมน และมันก็แสดงผลในเวลาต่อมาว่าขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์อันน่าพึงสยดสยองจริงๆ

        บรรดาผู้ใกล้ชิดคลุกคลีกับการเปิดสุสาน และหีบศพของพระองค์...คนแล้วคนเล่ามีอันต้องตาย ด้วยลักษณะแปลกๆโดยไม่คาดฝันถึง 22 คน ประหนึ่งว่ามรณะได้โบยบินมาสังหารทุกผู้ทุกคนที่รังควานนิทรารมย์แห่งยุวราชา ตามคำสาปแช่งทุกประการ การตายที่น่าแปลกที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์คำสาปเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง

กำเนิดแห่งอาณาจักรอียิปต์

กำเนิดแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ


            กำเนิดแห่งอาณาจักร ใน ราว 3200 ปีก่อนคริสตกาล ราชาแมงป่อง (Scorpion king) ผู้ครองนครธีส (This) อันตั้งอยู่บริเวณตอนกลางแห่งลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน ราชาแมงป่องปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์(ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มี แสดงว่าทั้งสองพระองค์น่าจะเกี่ยวดองกัน) นามว่า นาเมอร์ (Namer)ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของฟาโรห์เมเนส(Menese) พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและสถาปนาพระองค์ขึ้น เป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ฟาโรห์เมเนสเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่หนึ่งของอียิปต์โบราณ

ยุคอาณาจักรเก่า (เริ่มตั้งแต่ 2950 – 2150 ปีก่อน ค.ศ.) ราชวงศ์ที่หนึ่งถึงราชวงศ์ที่แปด

           ยุคนี้เมืองหลวงของอียิปต์คือ นครเมมฟิส (Memphis) โดยมีพระเจ้าเมเนส (Menes) เป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่ปกครองอียิปต์ทั้งหมด ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า องค์ฟาโรห์คือร่างประทับของสุริยเทพ ที่ลงมาปกครองมนุษย์

           การเมืองการปกครอง : ในสังคมอียิปต์มีการแบ่งออกเป็น 3 ชนชั้น คือ 

           1. ชนชั้นสูง ได้แก่ เชื้อพระวงศ์ นักบวช ขุนนาง
           2. ชนชั้นกลาง ได้แก่ พ่อค้า เสมียน ช่างฝีมือ 
           3. ชนชั้นล่าง คือ พวกชาวนาและผู้ใช้แรงงาน 

           นอกจากฟาโรห์แล้ว บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุด คือ หัวหน้านักบวชของสุริยเทพรา ซึ่งเป็นจอมเทพสูงสุดในการบริหารงาน ฟาโรห์จะมีคณะเสนาบดี ที่นำโดยวิเซียร์(Vizier) ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางสำคัญเป็นผู้ช่วย และส่งข้าหลวง(Nomarch) ไปทำหน้าที่ปกครองหัวเมืองต่างๆ โดยขึ้นตรงต่อองค์กษัตริย์ ในยุคอาณาจักรเก่านี้ อียิปต์ไม่มีกองทหารประจำการ แต่จะเกณฑ์พลเมืองเข้ากองทัพเมื่อเกิดสงคราม

           ความเชื่อ : เดิมทีก่อนการรวมแผ่นดิน หัวเมืองต่างๆทั้งในอียิปต์บนและล่าง ต่างนับถือเทพต่างๆกันต่อมาเมื่อรวมแผ่นดินแล้วก็ยังคงความเชื่อแบบพหุเทวนิยมอยู่ โดยมีเทพเจ้ารา(RA)เป็นเทพสูงสุด ชาวอียิปต์เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง นอกจากเทพเจ้าราแล้ว เทพที่ชาวอียิปต์นับถือกันมากได้แก่ เทพเจ้าโอซิริส เทพแห่งยมโลกผู้มีหน้าที่ตัดสินดวงวิญญาณ, เทพีไอซิส เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์, เทพเจ้าเซ็ท เทพแห่งสงคราม, เทพีฮาธอร์ เทพีแห่งความรัก และเทพเจ้าฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจำแต่ละเมือง

           วิถีชีวิต : ชาวอียิปต์โบราณดำรงค์ชีวิตด้วยการกสิกรรม โดยเฉพาะในเขตที่ราบน้ำท่วมถึง หรือที่เรียกว่า "เขตดินสีดำ" ที่ชื่อว่า เคเมต เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกได้ผลดี พืชผลที่ได้จะถือเป็นสมบัติของฟาโรห์และจะมีการแจกจ่ายแก่ประชาชนอย่างเหมาะสม พืชที่นิยมปลูกกันคือข้าวสาลีและข้าวบาเล่ย์ โดยพวกเขาจะใช้ข้าวสาลีทำขนมปังและทำเบียร์จากข้าวบาเล่ย์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นอาหารหลักของชาวอียิปต์โบราณ และพืชผลเหล่านี้ยังใช้เป็นสินค้าส่งออกไปยังดินแดนอื่นๆอีกด้วยนอกจากการ เพาะปลูกแล้วชาวอียิปต์ยังทำการจับปลา ล่านกน้ำและฮิปโปโปเตมัสในแม่น้ำไนล์ โดยใช้เรือที่ผูกจากต้นกก

           ส่วนใน "เขตดินสีแดง" ที่เรียกว่า เชเครต ซึ่งอยู่ในเขตอียิปต์บนพวกเขาจะทำการล่าสัตว์ป่าอย่างแอนทีโลป และแพะป่า ซึ่งมีอยู่มากมาย บ้านเรือนของชาวอียิปต์สร้างจากอิฐตากแห้งและใช้ไม้ทำส่วนประกอบอย่างกรอบ ประตูเนื่องจากในอียิปต์ไม้ค่อนข้างหายาก บ้านแต่ละหลังจะมีบันไดขึ้นดาดฟ้าเนื่องจากชาวอียิปต์จะใช้ดาดฟ้าเป็นที่ทำงานต่างๆเช่นการทำขนมปัง หรือแม้แต่เป็นที่พักผ่อนนั่งคุย

           อักษรอียิปต์ : ชาวอียิปต์ใช้อักษรภาพที่เรียกว่า เฮียโรกลิฟฟิค(Hieroglyphic) ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นรูปภาพและแบบที่เป็นสัญลักษณ์ประกอบเป็นคำ โดยจะบันทึกลงในแผ่นหินและม้วนกระดาษปาปิรุส ซึ่งทำจากต้นกก ตัวอักษรอียิปต์มีประมาณ 1000 ตัว ในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถอ่านเขียนอักษรเฮียโรกลิฟฟิคได้คล่องแคล่วจะมีโอกาสได้ทำงานเป็นอาลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่จะเลื่อนขึ้นเป็นขุนนาง หรือนักบวชสำคัญได้ 
           สำหรับอักษรของอียิปต์นั้น นับแต่อารยะธรรมล่มสลายลงไปก็ไม่มีใครสามารถตีความได้ จนกระทั่งได้มีการค้นพบ ศิลาจารึก โรเซทต้า(ROSETTA) ในปี ค.ศ. 1799 ที่มีจารึกอักษรเฮียโรกลิฟฟิคกับอักษรกรีกโบราณเอาไว้ ฟรองซัวส์ ชองโพลียอง ใช้วิธีการค้นคว้าโดยอ่านเทียบกับอักษรกรีกโบราณ และสามารถตีความได้สำเร็จในปี 1822

           การทำมัมมี่ : ถูกทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ที่4 และมีเรื่อยมาจนถึงค.ศ.641 ชาวอียิปต์เชื่อว่าหลังจากที่มนุษย์ ตายไปแล้วดวงวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมจึงต้องเก็บร่างเอาไว้เพื่อรอรับการเกิดใหม่ในยุค อาณาจักรเก่าเชื่อว่ามีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะกลับมาคืน ร่างเดิมแต่ในสมัยต่อมาการทำมัมมี่ได้แพร่หลายสู่ขุนนางและสามัญชน แม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักณ์ของเทพเจ้าในการทำมัมมี่ ชาวอียิปต์จะนำสมองและอวัยวะภายในออกจากศพและนำศพไปชำระล้างในแม่น้ำไนล์ จากนั้นจะนำไปแช่ในน้ำยานาตรอน(Natron) ซึ่งเป็นสารพวก sodium Carbonate โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกสามวันและแช่ประมาณหกสิบวันจนศพแห้ง และนำมาพันด้วยผ้าลินิน ส่วนอวัยวะภายในและสมองจะนำไปผสมกับเครื่องหอมและทำให้แห้งด้วยสมุนไพรจากนั้น จึงนำไปดองในน้ำยานาตรอนประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะนำมาเก็บในโถคาโนปิก(Canopic) สี่ใบ และนำไปเก็บรวมกับหีบศพในสุสานพร้อมข้าวของเครื่องใช้และสมบัติเพื่อรอการกลับมาของวิญญาณ

           พีระมิดยักษ์ : เป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุด เดิมทีฟาโรห์จะสร้างห้องเก็บพระศพขนาดใหญ่เป็นสุสาน ต่อมาในสมัยของฟาโรห์โซเซอร์ แห่งราชวงศ์ที่สาม (2650ปีก่อน ค.ศ.) อิมโฮเทปที่ปรึกษาของฟาโรห์ ซึ่งเป็นนักปราชญ์และสถาปนิกที่มีความสามารถ ได้ทำการออกแบบพีระมิดขั้นบันไดที่เรียกว่า มาสตาบา(Mastaba) ที่เมืองซักคาร่าขึ้น นอกจากเป็นผู้ออกแบบพีระมิดแล้ว อิมโฮเทปยังมีผลงานประพันธ์ต่างๆมากมายทั้งวรรณคดีและตำราเภสัชศาสตร์ ชาวอียิปต์รุ่นหลังนับถือเขาในฐานะเทพแห่งความรู้ หลังจากยุคของฟาโรห์โซเซอร์ ก็ได้มีการสร้างพีระมิดขั้นบันไดต่อมาและค่อยๆพัฒนากลายเป็นแบบสามเหลี่ยม โดยพีระมิดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ พีระมิดยักษ์ของฟาโรห์คูฟูที่เมืองกีซา ซึ่งมีความสูงถึง 147 เมตรและได้ชื่อว่าเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

           การต่างประเทศ : ในยุคอาณาจักรเก่าอียิปต์มีการค้าขายกับเพื่อนบ้านทั้งในเมโสโปเตเมีย (อยู่ในตะวันออกกลาง)และอาณาจักรนูเบียทางภาคใต้(ปัจจุบันคือซูดาน) ในยุคนี้ไม่มีการใช้เงิน การค้าจะทำในแบบของแลกของ โดยสินค้าออกสำคัญของอียิปต์ คือ พืชผลทางการเกษตร แลกกับสินค้าพวกไม้หอม งาช้าง เครื่องแกะสลัก เป็นต้น แทบไม่มีหลักฐานของการสงครามขนาดใหญ่ในยุคนี้ นอกจากหลักฐานการรบกับพวกเร่ร่อนเบดูอิน ในพรมแดนปาเลสไตน์สมัยฟาโรห์เปปิที่1 แห่งราชวงศ์ที่6 กล่าวได้ว่า สงครามใหญ่เพียงครั้งเดียวของยุคนี้ คือ สงครามรวมชาติตอนต้น ราชวงศ์ที่หนึ่งเท่านั้น

ยุครอยต่อของอาณาจักร (2125 – 1975 ปีก่อนคริสตกาล)

           นับแต่ก่อตั้งอาณาจักร ดินแดนอียิปต์มีแต่ความสงบสุขและรุ่งเรือง ปราศจากจากสงครามและการคุกคามจากชนต่างชาติ จนถึงปีที่ 2200 ก่อนคริสตกาล ความวุ่นวายและการนองเลือดก็เริ่มเกิดขึ้น สาเหตุมาจากฟาโรห์จะพระราชทานที่ดินให้แก่ขุนนางที่ทำความดีความชอบ โดยที่ดินดังกล่าวจะต้องกลับคืนเป็นของราชสำนักอีกครั้ง เมื่อขุนนางสิ้นชีวิตลง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าขุนนางเริ่มท้าทายอำนาจฟาโรห์ โดยการแอบโอนถ่ายที่ดินให้แก่ลูกหลาน จนในที่สุดก็กลายเป็นธรรมเนียมว่า ขุนนางสามารถโอนถ่ายที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์สู่ลูกหลานได้ และนำไปสู่การสร้างเขตอิทธิพลของแต่ละตระกูลเหล่าขุนนางต่างสะสมที่ดินและ กำลังคนมากขึ้น อำนาจของฟาโรห์ถูกกัดกร่อนลงเรื่อยๆ และกลุ่มอิทธิพลที่ทรงอำนาจมากที่สุดก็ คือ เหล่าหัวหน้านักบวชในอารามสุริยเทพรา

           ปีที่ 2180 ก่อน ค.ศ. อำนาจรัฐของฟาโรห์ที่เมมฟิสสิ้นสุดลง บรรดานครรัฐต่างตั้งตนเป็นอิสระและทำสงครามรบพุ่งกันเอง ดินแดนแม่น้ำไนล์ที่เคยอุดมสมบูรณ์เกิดภัยแล้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ฟาโรห์อ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างระบบชลประทานขึ้นมา แก้ปัญหาได้ความอดอยาก และภัยสงครามแพร่กระจายทั่วแผ่นดิน

           ในที่สุดอิยิปต์ถูกแบ่งเป็นสองเขต คือ อิยิปต์ใต้ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมมฟิส ถูกปกครองโดยตระกูลหนึ่งจากเมืองเฮรักลีโอโพลิส(Herakleopolis) ส่วนอีกเขตหนึ่ง คือ อียิปต์เหนือ ที่อยู่ทางใต้ของเมมฟิส ถูกปกครองโดยตระกูลจากเมืองธีบี (Thebes) และแล้วในปีที่ 1975ก่อนค.ศ.เจ้าชายนักรบจากธีบีสได้ทำสงครามผนวกอียิปต์ทั้งหมดและขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ ทรงพระนามว่า มอนตูโฮเทปที่ 2 (Montuhotep)

ยุคอาณาจักรกลาง1975 – 1640 ปีก่อนคริสตกาล

           พระเจ้ามอนตูโฮเทปที่2 ได้สร้างเมืองหลวงใหม่ที่ธีบีส ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างโบสถ์ใหญ่อันสวยงามที่ เดียร์ เอล-บาฮารี (Deir el-Bahari) โบสถ์นี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์อีกด้วย

           ต่อมาในสมัยของมอนตูโฮเทปที่ 4 พระองค์ถูกแย่งชิงราชสมบัติ โดยขุนศึกนาม อาเมเนมฮัท (Amenamhat) ซึ่งได้ตั้งราชวงศ์ที่12 ขึ้น

           ราชวงศ์ที่12 นี้ได้นำความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองกลับมาสู่อียิปต์อีกครั้ง มีการทำเหมืองแร่และอู่ต่อเรือ นอกจากนี้มีการสร้างพีระมิดขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่งการเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์ อำนาจของฟาโรห์กลับมายิ่งใหญ่และมั่งคั่งอีกครั้งหนึ่ง

           ชาวอียิปต์ได้ฟื้นฟูเส้นทางการค้าต่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่หยุดชะงักไปมีการส่งกองเรือสินค้า ไปค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น ครีทและเลบานอน ในยุคนี้อียิปต์ยังทำศึกกับพวกนูเบียทางใต้ (ปัจจุบันคือ ซูดาน) และแผ่อิทธิพลไปทางภาคตะวันตกเพื่อป้องกันเส้นทางการค้ามีการส่งกองเรือสินค้าไปค้าขายกับชาวต่างชาติ

           นอกจากนี้เครื่องบรรณาการ เช่น ทองคำและทาสเชลย ที่ชาวอียิปต์ได้จากการทำสงคราม ก็ทำเศรษฐกิจของอียิปต์เจริญรุ่งเรืองขึ้น อำนาจของฟาโรห์กลับมายิ่งใหญ่และมั่งคั่งอีกครั้งหนึ่ง

           นักรบนูเบีย : พวกนูเบียนเป็นกลุ่มชนผิวดำ ดินแดนนูเบียตั้งอยู่ดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ (ทางใต้ของอียิปต์) ทางอียิปต์ได้ส่งคณะเดินทางไปยังนูเบีย เพื่อนำงาช้าง หินสำหรับก่อสร้างและสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ กลับมาอียิปต์ ในสายตาของชาวอียิปต์นั้นถือว่าพวกนูเบียเป็นชนป่าเถื่อนที่มีอารยธรรมด้อยกว่าตน ในช่วงยุคมืดพวกนูเบียคุกคามพรมแดนด้านใต้ของอียิปต์

           ต่อมาในยุคอาณาจักรกลางและได้เกณเชลยศึกชาวนูเบียเข้ามาเป็นทหารในกองทัพ นอกจากนี้ยังมีนักรบนูเบียบางที่มีความสามารถ ได้รับตำแหน่งนายพลของกองทัพอียิปต์ด้วย ชาวนูเบียนรับอารยธรรมต่างๆของอียิปต์มาใช้ รวมทั้งความเชื่อทางศาสนาและการสร้างพีระมิดด้วย

การรุกรานของชนต่างชาติ (The invasion from Asia) 1630 – 1520 ก่อนคริสตกาล

           ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น นั่นคือการรุกรานของพวก ฮิกโซส (Hyksos) ซึ่งในฦาษาอียิปต์แปลว่า “กษัตริย์ต่างชาติ” ชนเผ่านี้อพยพมาจากทุ่งหญ้าในเอเชียและทำสงครามโค่นล้มราชวงศ์อียิปต์ พวกฮิกโซสมีชัยชนะเหนืออียิปต์ได้ด้วยรถศึกและม้า ซึ่งชาวอียิปต์ไม่เคยรู้จักมาก่อน 
           รถศึกเป็นการผสมผสานระหว่างความเร็วกับอานุภาพการยิง โดยมือธนูจะอยู่บนรถศึกและยิงทำลายแนวรบของศัตรู ทหารอียิปต์ที่มีเพียงพลเดินเท้าเป็นหลักไม่อาจต้านทานอานุภาพของรถศึกได้ ในที่สุดพวกฮิกโซสจึงสามารถก่อตั้งราชวงศ์ปกคริงอียิปต์ได้สำเร็จ โดยตั้งเมืองหลวงชื่อ อวารีส(Avaris) ขึ้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ และครอบครองดินแดนส่วนเหนือของประเทศ 
           พวกฮิกโซสนำอียิปต์สู่โลกภายนอกและนำวิทยาการใหม่ๆมาสู่อียิปต์ พวกฮิกโซสได้ปรับวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอียิปต์เข้าด้วยกันแม้จะใช้วัฒนธรรมอียิปต์ แต่ในสายตาชาวอียิปต์ พวกฮิกโซสก็ยังเป็นผู้รุกรานที่น่ารังเกียจ 
           ในเวลาที่พวกฮิกโซสตั้งราชวงศ์นั้น พวกอียิปต์ก็ได้ตั้งราชวงศ์ที่17 อยู่ที่ธีบีส โดยยอมอ่อนข้อให้พวกฮิกโซสในตอนแรก แต่หลังจากนั้นธีบีสก็ลุกขึ้นทำสงครามกับฮิกโซส ในการสงคราม ฟาโรห์สองพระองค์ของธีบีส คือ ฟาโรห์เซเกนองแร (Sequenenre) และฟาโรห์กาโมส (Kamose) สิ้นพระชนม์ในสนามรบ และในที่สุดฟาโรห์อาห์โมซิส(Amosis) ก็สามารถขับไล่พวกฮิกโซสออกไปได้สำเร็จ และก่อตั้งราชวงศ์ที่18 ขึ้น

ยุคอาณาจักรใหม่ (New kingdom) 1539 – 1075 ปีก่อนคริสตกาล

           นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับกันว่ายุคนี้เป็นยุคที่อียิปต์รุ่งเรืองที่สุด โดยหลังจากพวกฮิกโซสถูกขับไล่ไปแล้ว อำนาจของฟาโรห์ เหนือนครต่างๆในลุ่มน้ำไนล์กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ในยุคของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 (Thutmosis) แห่งราชวงศ์ที่ 18 ในยุคนี้เมืองหลวงของอียิปต์คือนครธีบส์(Thebes) และฝั่งตรงข้ามของเมืองหลวงคือ หุบเขาแห่งกษัตริย์อันเป็นสถานที่ฝังพระศพฟาโรห์

           ในยุคอาณาจักรใหม่นี้ ทั้งนี้ชาวอียิปต์ได้ยกเลิกประเพณีการสร้างพีระมิดไป ตั้งแต่ตอนปลายของอาณาจักรเก่า เนื่องจากสิ้นเปลืองวัตถุดิบ และหันมาใช้วิธีเจาะหน้าผาเป็นสุสานแทน นอกจากธีบส์แล้ว ทุตโมซิสที่1 ยังได้สร้างนครอบีดอส (Abidos) ให้เป็นเมืองสำคัญ ในสมัยของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 นี้เมืองหลวง คือ กรุงธีบส์ เจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวิหารขนาดใหญ่เพื่อบูชาแด่เทพเจ้า ซึ่งก็รวมทั้งมหาวิหารคาร์นัค นอกจากนี้ อียิปต์ยังได้เริ่มการแผ่อำนาจเข้าไปในดินแดนเอเชียตะวันออกใกล้และนูเบียอีกด้วย

การมาถึงของชนทะเล (Sea people)

           การรุกรานของชนทะเล : หลังการครองราชย์ของรามเสสที่3 ทางด้านเมดิเตอเรเนียนได้เกิดความวุ่นวาย เนื่องจากภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการรุกรานและการอพยพจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ ประชาชนจากเมดิเตอเรเนียนต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม กลุ่มชนเหล่านี้ถูกเรียกว่าชาวทะเล (sea people) นักรบชาวทะเลเหล่านี้ประกอบด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ เช่น ไมซีเน่ อีเจียน ฟิลิสทีนแม้กระทั่งชาวซีเรียโดยพวกเขาได้เข้ารุกรานและทำลายบ้านเมืองต่างๆ เรื่อยมา

           สิ่งที่พวกนี้ต้องการ คือ ดินแดนใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาจะตั้งถิ่นฐานได้ นอกจากนี้ชาวทะเลเหล่านี้ยังได้เข้าโจมตี และทำลายนครฮัตตูซัส เมืองหลวงของจักรวรรดิฮิตไตท์จนราบคาบ จากนั้นชาวทะเลจึงมุ่งหน้ามายังอียิปต์ ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของโลกโบราณ และในปีที่1179 ก่อน ค.ศ. สงครามระหว่างชาวทะเลกับอียิปต์ก็เกิดขึ้น

           ฟาโรห์รามเสสที่ 3 สามารถพิชิตกองทัพชาวทะเลได้ทั้งทางบกและทางน้ำ ทำให้สามารถปกป้องจักรวรรดิได้สำเร็จชื่อเสียงของพระองค์เลื่องระบือ หลังสงครามพระองค์ยังปราบปรามพวกลิเบียที่ก่อกบฎลงได้ ทำให้จักรวรรดิเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง แต่ทว่าสงครามที่ยาวนานทำให้อียิปต์สูญเสียกำลังคนไปมาก การค้าก็หดหายไป ทำให้อียิปต์ขาดรายได้และท่ามกลางปัญหานี้เองรามเสสที่ 3 ก็สวรรคตลง

บทสุดท้าย แห่งอาณาจักร

           วาระแห่งความเสื่อมสูญ : หลังการสวรรคตของรามเสสที่ 3 อียิปต์กลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ทั้งจากปัญหาการเมืองและความอดอยาก ในที่สุดอียิปต์ก็แตกแยกกลายเป็นก๊กเป็นเหล่า บรรดาเมืองต่างๆตั้งตนเป็นอิสระ 
           ชาวลิเบียซึ่งเป็นนักโทษสงครามของรามเสส ถือโอกาสตั้งตนเป็นอิสระ ผู้นำของพวกเขานามว่า โชชอง(Chochong) ได้เป็นฟาโรห์ และรวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จ แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆและบ้านเมืองก็เข้าสู่สภาพแตกแยกอีกครั้ง
           ในปีที่663 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อัสซูบานิปาลแห่งอัสสิเรีย ได้ยกกองทัพเข้ารุกรานอียิปต์ เมืองต่างๆถูกทำลาย ทรัพย์สมบัติถูกปล้นชิงและอียิปต์ก็ไม่อาจฟื้นตัวได้อีก ต่อมาในปีที่ 525 ก่อน ค.ศ. อียิปต์ก็ถูกปกครองโดยชาวเปอร์เซีย และเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย ซึ่งเป็นชนเชื้อชาติกรีก พิชิตเปอร์เซียลง อียิปต์ก็ตกเป็นของมาซีโดเนียในปีที่ 335 ก่อนคริสตกาล

ภูมิประเทศของอียิปต์

ภูมิประเทศของอียิปต์

            อียิปต์เป็นดินแดนที่น่าพิศวงมากประเทศหนึ่ง คนทั่วไปมองว่าอารยธรรมอียิปต์มีความเชื่อที่เล้นลับแฝงอยู่มากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ซ่อนความเจริญด้านต่างๆ ไว้อย่างมากมายด้วยเช่นกัน เมื่อย้อนมาพิจารณาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อียิปต์มีความรุ่งเรืองและถึงกับเป็นดินแดนที่น่าพิศวง ตลอดจนมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญมากมาย เช่น ปิรามิค วิหารขนาดใหญ่ เป็นต้น




สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และแม่น้ำไนล์

          อียิปต์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ในสมัยโบราณบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ได้แก่ ดินแดนที่อยู่บนสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ 

  • ทิศเหนือ คือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 
  • ทิศตะวันออก คือทะเลแดง
  • ทิศใต้ คือประเทศนูเบียหรือซูดานในปัจจุบัน 
  • ทิศตะวันตก คือทะเลทรายซะฮารา 
          อียิปต์โบราณประกอบด้วยบริเวณสองแห่ง คือ อียิปต์บน (Upper Egypt) และอียิปต์ล่าง (Lower Egypt) 

  • อียิปต์บน ได้แก่ บริเวณที่มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่านหุบเขา มีความยาวประมาณ 500 ไมล์ ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ตอนนี้เป็นหน้าผาลาดกว้างไปจนสุดสายตา เต็มไปด้วยเนินเขาที่แห้งแล้ง มีเนินทรายสีแดงและสีเหลืองเป็นตอนๆ 
  • อียิปต์ล่าง ได้แก่บริเวณที่แม่น้ำไนล์แตกสาขาออกเป็นรูปพัดไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณนี้ชาวกรีกโบราณเรียกว่า เดลต้า เป็นบริเวณปลายสุดของลำน้ำมีความยาวประมาณ 200 ไมล์ และกว้างระหว่าง 6-22 ไมล์ อารยธรรมโบราณของอียิปต์ได้เจริญขึ้นในบริเวณแถบเดลต้านี้

          อียิปต์เป็นดินแดนกันดารฝนแต่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำไนล์ ซึ่งได้รับน้ำอันเกิดจากหิมะละลายและฝนในฤดูร้อนจากภูเขาในอบิสสิเนีย น้ำจะไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำ ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมจนถึงตุลาคม ทำให้สองฝั่งแม่น้ำไนล์จมอยู่ใต้น้ำเป็นบริเวณกว้าง เมื่อน้ำลดโคลนตมที่น้ำพัดพามาจะตกตะกอนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก




          ความอุดมสมบูรณ์ในลุ่มแม่น้ำไนล์ได้มาจากตะกอนโคลนตมอันอุดมด้วยปุ๋ย ซึ่งน้ำที่ท่วมประจำปีนำมาทิ้งไว้เช่นเดียวกับบริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสของเมโสโปเตเมีย พัฒนาการของอารยธรรมก็ค่อนข้างจะเป็นไปตามแบบแผนเดียวกัน คือมีการร่วมแรงกันสร้างระบบชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วม สร้างทำนบกั้นน้ำ ขุดคูน้ำไปยังดินแดนที่ห่างไกลออกไป แต่ทว่าพัฒนาการทางการเมืองของอียิปต์แตกต่างจากเมโสโปเตเมีย คืออียิปต์ได้แบ่งแยกเป็น "นครรัฐอิสระ" หากแต่ร่วมกันเป็นอาณาจักรที่อยู่ใต้อำนาจทางการเมืองของบุคคลเดียว คือ กษัตริย์ซึ่งอียิปต์เรียกว่า "ฟาโรห์ (Pharaoh)"

          สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้กษัตริย์อียิปต์สามารถรวบรวม และปกครองดินแดนทั้งหมดไว้ได้อย่างมั่นคงตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ปัจจัยดังกล่าวได้แก่

            (1) ทะเลทรายช่วยป้องกันการแทรกซึมของพวกลิเบียจากทะเลทรายทางทิศตะวันตก หรือพวกเอเซียทางทิศตะวันออกและพวกนูเบียจากทิศใต้ การป้องกันตนเองจึงไม่ใช่ปัญหาน่าหนักใจสำหรับผู้ปกครองอียิปต์
            (2) แม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง และระบบประสาทในการรวมดินแดนเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่เรือแพล่องไปมาได้สะดวก โดยอาศัยการควบคุมการเดินเรือในแม่น้ำไนล์ ผู้ปกครองก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชน และการถ่ายเทของสินค้าได้โดยอัตโนมัติ และอาศัยแม่น้ำไนล์เป็นเส้นทางคมนาคม สำหรับการเดินเรือไปเก็บภาษีอากรจากประชาชนตลอดจนเป็นเส้นทางเดินทัพ 
           นอกจากนี้การที่เขตอุดมสมบูรณ์จำกัดอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์เป็นแนวยาวตามสองฟากฝั่ง ทำให้ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณนี้ก็ยังเอื้อให้การปกครองประชาชนเป็นไปโดยง่าย



         ความอุดมสมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอที่อียิปต์ได้รับจากแม่น้ำไนล์ ด้วยเหตุนี้นักภูมิศาสตร์ จึงเรียกอียิปต์ว่า "ดอกผลแห่งแม่น้ำไนล์ (Gift of the Nile)" ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นปราการป้องกันศัตรูจากภายนอกทำให้ชาวอียิปต์โบราณมีความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย มองไม่เห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตดำเนินไปเหมือนกันหมด พลังผักดันจากภายนอกที่จะให้มีความปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงมีอยู่น้อยมาก ด้วยเหตุนี้อารยธรรมอียิปต์จึงเจริญติดต่อกันมาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงระยะเวลาอันยาวนาน